วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

คันดินสะพานนวลฉวีพัง สารเคมีรั่ว อพยพวุ่น!

คันดินสะพานนวลฉวีพัง สารเคมีรั่ว อพยพวุ่น!


คันดินสะพานนวลฉวีพัง สารเคมีรั่ว อพยพวุ่น!

(26 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุคันดินบริเวณสะพานนนทบุรี หรือสะพานนวลฉวี ฝั่งแยกสวนสมเด็จ จ.ปทุมธานี เกิดรอยรั่วความยาวประมาณ 3 เมตร ส่งผลให้น้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ดังกล่าว
นอกจากนี้น้ำยังเข้าท่วมโรงงานย่านถนนติวานนท์ ใกล้สะพานนวลฉวี ทำให้เกิดสารเคมีจากโรงงานรั่วไหลปะปนกับน้ำ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสูดดมสารพิษ 4 ราย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลชลประทานแล้ว ขณะที่พื้นที่ที่เกิดเหตุ มีบ้านเรือนประชาชนประมาณ 25 หลังคาเรือน ซึ่งได้มีการอพยพออกจากพื้นที่แล้วทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นกลิ่นสารเคมีที่รั่วไหลเริ่มเจือจางลงไปบ้างแล้ว แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังคงต้องรอให้สารเคมีอยู่ในระดับปลอดภัย ก่อนจะเข้าดำเนินการซ่อมแซมคันดินที่เสียหายบริเวณสะพานนวลฉวีต่อไป

ระทึก! สารเคมีรั่วกรุงเทพกรีฑา-เร่งตรวจสอบ

ระทึก! สารเคมีรั่วกรุงเทพกรีฑา-เร่งตรวจสอบ


ระทึก! สารเคมีรั่วกรุงเทพกรีฑา-เร่งตรวจสอบ

เกิดเหตุระทึก! สารเคมีไม่ทราบชนิด รั่วไหล บริเวณ ซอยกรุงเทพกรีฑา 35 เจ้าหน้าเร่งตรวจสอบ
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งเหตุพบสารเคมีถูกทิ้งลงแหล่งน้ำ บริเวณหน้า บริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ตรงข้ามซอยกรุงเทพกรีฑา 35 ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง เบื้องต้น เจ้าหน้าที่สำนักอนามัย เจ้าหน้าที่เขตสะพานสูง ดับเพลิงหัวหมาก และห้วยขวางรุดที่เกิดเหตุ พร้อมนำเครื่องตรวจวัดสารเคมีเพื่อตรวจสอบ
พบเป็นสารเคมีรั่วไหลออกมากจากบริษัท คอมฟอร์ม จำกัด ลงไปที่บริเวณบ่อระบายน้ำด้านหน้าบริษัทจำนวน 3 บ่อ ทำให้น้ำในบ่อที่ 1 และบ่อที่ 2 ลักษณะของน้ำเป็นสีชมพู และบ่อที่ 3 ลักษณะเป็นสีดำมีคราบน้ำมันปะปน
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบชนิดของสารเคมีดังกล่าว และป้องกันสารเคมีรั่วไหลลงสู่คลองสาธารณะ ทั้งนี้ ได้มีการกั้นบริเวณโดยรอบเพื่อป้องกันเหตุและห้ามประชาชนเข้าใกล้ในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบเป็นสาร Kerosene ลักษณะเป็นของเหลวไวไฟ มีคุณสมบัติกัดกร่อน pH5 กระจายตัวในท่ออระบายน้ำหน้าโรงงานประมาณ 200 เมตร
ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ใช้กระดาษซับสารที่อยู่บริเวณผิวหน้าและตักใส่ถุง และใช้สารสลายคราบไขมันฉีดพ่น เพื่อกำจัดคราบสารเคมี

อันตราย! ผักไทยพบสารเคมีตกค้างเกือบ 100% แทบทุกชนิด

อันตราย! ผักไทยพบสารเคมีตกค้างเกือบ 100% แทบทุกชนิด


อันตราย! ผักไทยพบสารเคมีตกค้างเกือบ 100% แทบทุกชนิด

ไม่ว่าจะช่วงเทศกาลกินเจ หรือช่วงปกติ การทานผักเป็นเรื่องที่เราควรทำเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี แต่ข่าวร้ายคือ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) ตรวจพบสารเคมีตกค้างจากยาฆ่าแมลงในผักสดของไทยหลายชนิด ที่เกินค่ามาตรฐานไปมาก กล่าวคืออยู่ที่ 85-100% เลยทีเดียว นับว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัว จนต่างประเทศรับไม่ได้อย่างแน่นอนพบสารเคมีเกือบ 100% จริง!
จากคลิปจะเห็นได้ว่า ตรวจพบผักที่มีสารเคมีจากยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่หลายชนิด เช่น ผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างอยู่ที่ 85% ผักบุ้งจีน 98% ผักกวางตุ้ง 99% และกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แตงกวา พบมากถึง 100% เรียกได้ว่าพบสารเคมีตกค้างทุกแหล่งผลิตเลยก็ว่าได้ เพราะคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) สุ่มเก็บตัวอย่างมาทดสอบจากกว่า 100 แห่ง จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ และในทุกฤดูกาลเลยทีเดียว

ปลูกผักผลไม้ที ใช้สารเคมี 20 กว่าชนิด?
นอกจากจะเจอสารเคมีตกค้างในผักยอดนิยมของคนไทยหลายชนิดแล้ว แต่ละชนิดยังไม่ได้พบสารเคมีแค่ตัวเดียวอีกด้วย เช่น ในผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างมากถึง 12 ชนิด มังคุด พบสารตกค้างมากถึง 20 ชนิด หรือว่าจะเป็นส้มที่พบมากถึง 21 ชนิดเช่นกัน นั่นหมายความว่าเกษตรกรใช้สารเคมีมากถึง 21 ชนิดในการปลูกส้มนั่นเอง
ถูก-แพง ก็พบสารเคมีเหมือนกัน!
นอกจากนี้ รศ. ดร. สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์ จากศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการวิจัยผัก และผลไม้ที่ปลอดภัยเพื่อครัวโลก ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ราคาของผักไม่ได้การันตีว่าจะไม่พบสารเคมี หรือพบสารเคมีมากกว่าหรือน้อยกว่าแต่อย่างใด จากการสุ่มตรวจหาสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ทั้งจากตลาดสด และในซุปเปอร์มาร์เก็ตขึ้นหาก ทั้งจากแหล่งผลิตที่เขียนข้างบรรจุภัณฑ์ชัดเจนว่า “ผักปลอดสารพิษ” “ผักอินทรีย์” สุดท้ายก็เจอสารเคมีเพียบ นั่นหมายความว่าเราจ่ายเงินมากกว่าหลายเท่า แต่ได้ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากเท่าๆ กับผักผลไม้ในตลาดสด
เคล็ดลับการล้างผักผลไม้ เพื่อลดสารพิษ ยาฆ่าแมลง สารเคมีตกค้างต่างๆ
1. ล้างผักผลไม้ด้วยด่างทับทิม ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 20-30%
2. ล้างด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชู ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
3. ล้างด้วยน้ำผสมผงฟู หรือเบกกิ้งโซดา ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
4. ล้างผักด้วยวิธีน้ำไหล โดยแยกใบผัก กลีบผักออกมา แช่ในน้ำ 10 นาที จากนั้นหยิบใบผักขึ้นมา เปิดก็อกให้น้ำไหลผ่านผักและผลไม้ทีละใบ ทีละก้าน ถูๆ ให้สะอาดราว 2 นาที วิธีนี้ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 60-70%
มาถึงตรงนี้ ในฐานะผู้บริโภคก็ควรจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง ด้วยการใส่ใจล้างผัก และผลไม้อย่างถูกวิธี แต่ในทางกลับกัน การพบสารเคมีตกค้างในผัก และผลไม้เกินค่ามาตรฐานทั่วประเทศไทย ไม่เว้นจากแหล่งผลิตที่แปะป้ายไว้ว่าผักปลอดสารพิษ ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐควรเข้ามาตรวจสอบ แก้ไข และพัฒนาให้ดีขึ้น ให้ถูกต้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรในประเทศ

มารู้จัก ‘Green Diaper’ ผ้าอ้อมสีเขียวไร้สารเคมีกันเถอะ!

มารู้จัก ‘Green Diaper’ ผ้าอ้อมสีเขียวไร้สารเคมีกันเถอะ!


มารู้จัก ‘Green Diaper’ ผ้าอ้อมสีเขียวไร้สารเคมีกันเถอะ!
 ถ้าพูดถึงประเภทของ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป หลายคนคงนึกถึงแค่ แบบกางเกง หรือ แบบเทป ใช่ไหมคะ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงชนิดของผ้าอ้อมสำเร็จรูปในอีกมุมหนึ่งกัน ระหว่าง “ผ้าอ้อมสำเร็จรูปทั่วไปตามท้องตลาด กับ ผ้าอ้อมสีเขียว” 

     ยุคนี้อะไรๆ ที่เป็น Green Product มักจะได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย เพราะช่วยรักษ์โลกและไม่เป็นพิษภัยต่อผู้ใช้ โดยสิ่งที่เป็น Green Product ก็มีหลายอย่างด้วยกัน เช่น พลังงานเขียว (Green Energy), พลาสติกเขียว (Green Plastic), กระเป๋าเขียว (Green Bag), อาคารเขียว (Green Building) หรือแม้กระทั่งผ้าอ้อมสำเร็จรูป ก็มีแบบ Green Product ด้วยเหมือนกันนะ!
(อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/28OCkHr)
      ผ้าอ้อมสำเร็จรูปทั่วไป กับ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่อยู่ในหมวด Green Product แตกต่างกันอย่างไร??

     1. Fluff/Cellulose Pulp ปุยนุ่นนุ่มนิ่ม ไม่มีสารคลอรีน
     ในผ้าอ้อมทั่วไปจะผ่านการใช้สารเคมีอย่าง “แก๊สคลอรีน” ซึ่งเป็นแก๊สที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงในการฟอกขาว ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตา หรือระบบทางเดินหายใจได้ ในขณะที่วัสดุที่นำมาใช้ในผ้าอ้อมที่เป็น Green Diaper จะผลิตจากเยื่อไม้ธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย และใช้กรรมวิธีในการฟอกขาวโดยปราศจาก แก๊สคลอรีน 100 % ซึ่งเวลาเลือกซื้อคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้จากสัญลักษณ์ TCF (TCF=TOTAL CHLORINE FREE) เพื่อความชัวร์ได้เลยค่ะ

     2. เส้นใยที่ไม่ผ่านการทอ (Non-Woven)
     ในแผ่นชั้นบนสุดของ Green Diaper จะเป็นเส้นใยที่ไม่ผ่านการทอ (Non-Woven) ด้วยการผลิตจาก Polypropylene (PP) และในขั้นตอนการผลิตจะต้องปราศจากสารตัวทำละลายอินทรีย์ (Organic Solvent) ด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยเฉพาะสารพาทาเลต(Phthalates) ซึ่งเป็นสารประกอบของพลาสติกที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เรียกได้ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาว...ก็ปลอดภัย

     3. เม็ดคริสตัลใสๆ (Super Absorbent Polymer | SAP)
     ใน Green Diaper จะใช้สารโซเดียมโพลิอะคริเลต (Sodium Polyacrylate) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับได้ดีเยี่ยม ทำให้ของเหลวไม่หมักหมม เมื่อไม่หมักหมมก็ย่อมไม่อับชื้น เด็กก็ไม่เสี่ยงที่จะเป็นผดผื่นได้เหมือนผ้าอ้อมทั่วไป นอกจากนี้ ตามมาตรฐานของ NORDIC ECO LABEL ยังมีการควบคุมปริมาณตกค้างของโมโนเมอร์ของกรดอะคริลิก(Residual Monomers) ไม่ให้เกิน 400 PPM ด้วย ช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่หายห่วงเรื่องสารตกค้างหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ ร่างกายของเจ้าตัวน้อยไปได้อย่างสบายใจ
     4. Film แผ่นฟิล์มด้านนอกสุด 
     วัสดุที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับผ้าอ้อม นั้นก็คือ ฟิล์มนั่นเอง เพราะฟิล์มจะทำหน้าที่ป้องกันการรั่วซึม ช่วยไม่ให้ซึมเปื้อน ใน Green Diaper จะใช้ฟิล์มแบบ Polyethytlene (PE), Bico PP/PE หรือ PE/PET Fibers ที่มีขั้นตอนการผลิตที่ปลอดภัยปราศจากตัวทำละลายอินทรีย์ และที่สำคัญคือไม่มีส่วนผสมของสารพาทาเลต (Phthalates) ที่เป็นสารก่อมะเร็ง แค่นี้ก็หายห่วงเรื่องโรคร้ายแล้ว ทั้งกันน้ำกันมะเร็ง...ปลอดภัยสุดๆ ไปเล้ย!

     5. Spandex เส้นใยยืดหยุ่น
     คุณแม่ท่านไหนที่ชอบเย็บปักถักร้อยคงจะทราบถึงคุณสมบัติของผ้าสแปนเด็กซ์กันดีว่าผ้าชนิดนี้มีจุดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่นสูงแต่ไม่เสียทรง บางเบา ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปจึงนำเอาจุดเด่นของผ้าชนิดนี้ มาทำเป็นตัวกระชับรอบเอวและขา ที่สามารถมีความยืดหยุ่นได้มากถึง 400 เท่า ทำให้เด็กคล่องตัวไม่อึดอัด ใน Green Diaper ตัวแผ่นสแปนเด็กซ์จะผลิตจาก Polyether หรือ Polyester และที่สำคัญคือต้องไม่มีส่วนประกอบของ PVC (พลาสติกที่อาจมีสารไวนิลคลอไรด์ตกค้างอยู่) อย่างเด็ดขาด เท่านี้ก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่หมดห่วงเรื่องสารตกค้างไปได้เลย
     6. Printing & Dying ลวดลายและการย้อมสี
     เพราะใครๆ ก็ชอบของน่ารักๆ ลวดลายก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เผลอใจเลือกซื้อผ้าอ้อม ก็มันอดใจไม่ไหวนี่นา.. ใช่มั๊ยคะ? ผ้าอ้อมทั่วไปอาจมีการย้อมสีเพื่อเปลี่ยนสีผ้าอ้อมจากสีขาวเป็นสีต่างๆ หรือพิมพ์ลวดลายน่ารักๆ แต่กับ Green Diaper นั้นต้องปราศจากการย้อมสีโดยสิ้นเชิง ส่วนในการพิมพ์ลวดลายต่างๆ นั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ยังสบายใจได้ว่าไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแน่นอน เพราะเม็ดสีที่ใช้ใน Green Diaper นั้นต้องไม่มีส่วนผสมของสารโลหะหนัก เช่นปรอท ตะกั่ว แคดเมียม ที่เป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้นลวดลายที่ได้ของ Green diaper จะมาจากธรรมชาติล้วนๆ ลายน่ารักแถมยังปลอดภัย ยิ้มได้ทั้งคู่ WIN WIN ทุกฝ่ายได้อี๊ก!     7. สารปรุงแต่งต่างๆ เช่น Optical Brightener, Lotion, Perfume, Fragrance
     ใน Green Diaper จะเน้นความเป็นธรรมชาติสุดๆ โดยจะไม่มีการใส่สารปรุงแต่งต่างๆ มาประกอบ เช่น Optical Brightener (สารเพิ่มความขาว) ,Lotion (โลชั่น) ,Perfume (น้ำหอม) ,Fragrance (กลิ่น) เนื่องจากผิวของเด็กอ่อนเป็นผิวที่บอบบางมาก จึงควรหลีกเลี่ยงสารต่างๆ ที่ไม่จำเป็น เพราะจะเป็นการสร้างการระคายเคืองหรือผดผื่น ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าใน Green Diaper จะปราศจากสารปรุงแต่งเหล่านี้แน่นอน ก็คล้ายๆ กับการที่เราเลือกกินอาหารออแกนิคที่ต้องปลอดสารเติมแต่งทุกขั้นตอนนั่นเองค่ะ

     8. มั่นใจได้... เพราะวัตถุดิบทุกชนิดออกแบบและคัดเลือกมาเพื่อเด็กอ่อนเท่านั้น (All Raw Materials)
     ถึงชื่อส่วนประกอบในผ้าอ้อมแต่ละอย่างจะดูน่ากลัว และมีสารแปลกๆ ที่ไม่คุ้นตาแต่ไม่ต้องกังวลว่าลูกน้อยจะได้รับสารเคมีตกค้างแต่อย่างใดเพราะใน Green Diaper ทุกชิ้นต้องไม่มีสารหรือส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อคนและสิ่งแวดล้อม คุณพ่อคุณแม่หมดกังวลได้เลยเพราะวัสดุที่ใช้ใน Green Diaper นั้น ถูกคัดเลือกมาให้เหมาะสมกับเด็กอ่อนมีผลกระทบทั้งต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รักลูกแถมรักษ์โลกสมกับเป็นพ่อแม่ยุคใหม่หัวใจสีเขียวสุดๆ

12 สารเคมีในบ้านที่เราควรหลีกเลี่ยง

12 สารเคมีในบ้านที่เราควรหลีกเลี่ยง


12 สารเคมีในบ้านที่เราควรหลีกเลี่ยง

ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่ในครัวเรือนนั้น มีส่วนผสมของสารเคมี ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ ขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และฮอร์โมนในร่างกาย องค์การอนามัยโลกบอกว่า สารเคมีเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คน ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เกิดกับคนในโลก
Thomas Zoeller ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งแมซซาชูเสท บอกว่า แม้เราจะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า สารเคมีต่าง ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันไปขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธว่าสารเคมีส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายมีรายงานด้วยว่า ทุกวันนี้มีสารเคมีราว ๆ 80,000 ชนิด ที่ถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับอยู่ในชีวิตประจำวัน และสารเคมีประมาณ 1,300 ชนิด ก็ถูกพิจารณาว่าขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ และสารเคมี 12 ชนิดต่อไปนี้ นับว่าเลวร้ายมากที่สุด ซึ่งเราควรจะต้องหลีกเลี่ยง
1.Bisphenol A หรือ BPAเป็นสารที่พบในบรรจุภัณฑ์พลาสติก ในปี 1930 มีการใช้เพื่อสังเคราะห์เอสโตรเจนให้กับผู้หญิง ดังนั้นแน่นอนว่า สารเคมีดังกล่าวมีผลต่อฮอร์โมน มีการศึกษาพบว่า มันทำหน้าที่เหมือนเอสโตรเจน ทำให้การผลิตเสปิร์มของผู้ชายลดลง ทำให้เด็กหญิงแตกวัยสาวเร็วกว่ากำหนด และยังส่งผลกระทบต่อภาวะการเจริญภัณฑ์ของทั้งชายและหญิง ในสัตว์ก็มีการศึกษาพบว่า สารเคมีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการแท้งลูก นอกจากนั้น สาร BPA นี้ ยังรบกวนระบบการเผาผลาญอาหารและมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคเบาหวาน เราพบสาร BPA ในอาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก สารเคลือบใบเสร็จ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการลดการรับประทานอาหารกระป๋อง เลือกหาอาหารสดมาทำรับประทานเอง หลีกเลี่ยงการใช้ขวดหรือภาชนะพลาสติก และหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรับใบเสร็จ เมื่อเวลาช้อปปิ้ง
2.Dioxins หรือไดอ๊อกซิน เป็นสารประกอบทางเคมีที่เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง และยังเป็นสารเคมี ที่มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ลดภาวะการเจริญพันธุ์ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคเยื่อบุโพรงมดลูก มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน ลดระดับฮอร์โมนเทสทอสเทอร์โรน ก่อให้เกิดการแท้ง ลดปริมาณและคุณภาพของฮอร์โมน สารเคมีนี้เกิดจากการเผาขยะในปริมาณมาก และปนเข้าไปอยู่ในกระดาษ เยื่อไม้ อากาศ และน้ำ จากนั้นก็ไปก่อตัวอยู่นำไขมันของสัตว์ ซึ่งเป็นอาหารของเรา การที่จะลดปริมาณการรับสารพิษนี้ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมัน และนมเนยให้น้อยลง3.Atrazine หรืออาทราซิน สารชนิดนี้ เคยมีการวิจัยพบว่ามีผลกระทบต่อฮอร์โมนของปลาและกบ โดยทำให้ปลา และกบเพศผู้ มีความเป็นเพศเมีย ส่วนการวิจัยในมนุษย์พบว่าสารดังกล่าว ไปเพิ่มการทำงานของยีนที่เกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ สารชนิดนี้นำมาใช้กันมากในการกำจัดศัตรูพืช โดยมากจะนำมาใช้กับข้าวโพด วิธีการหลีกเลี่ยงสารพวกนี้ก็คือ การเลือกบริโภคผัก ผลไม้ จากฟาร์มออร์แกนิค และลดปริมาณการรับประทานเนื้อ เพราะสารดังกล่าวปนเปื้อนอยู่ในข้าวโพด และข้าวโพดก็เป็นอาหารหลัก ๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์
4.Phthalates หรือพาทาเล็ท สารนี้เคยมีการนำมาศึกษา และพบว่า เด็กชายที่เกิดจากมารดาที่มีระดับสารพาทาเล็ทมาก มีความผิดปกติที่อวัยวะเพศ สารเคมีดังกล่าวไปรบกวนฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้มีการพัฒนาของหน้าอก นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ก็มีระดับสารชนิดนี้สูงกว่าหญิงที่ไม่เป็นมะเร็ง สารพาทาเล็ท เป็นสารที่เราพบได้มากมายในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ ทั้งพื้นบ้าน ม่านห้องน้ำ หนังสังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์พวก PVC ไวนิล สารพาทาเล็ท ทำให้พลาสติกมีความยืดหยุ่น นอกจากนั้น ยังเป็นสารที่นำไปใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวกสี เช่น ยาทาเล็บ สี น้ำยาเคลือบเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งยังพบสารพวกนี้ ในบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นจำนวนมากด้วย วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ไวนิล และเก็บอาหารไว้ในภาชนะแก้ว หรือสแตนเลสสตีล5.Perchlorate หรือพอร์เชอเรต เป็นสารที่รบกวนการทำงานของไทรอยด์ ส่งผลต่อฮอร์โมน และการเผาผลาญอาหารของร่างกาย สารเคมีชนิดนี้ เป็นส่วนประกอบของเชื้อเพลิงจรวด ขีปนาวุธ ดอกไม้ไฟ รวมทั้งแบตเตอรี่ สารชนิดนี้ จะปนเปื้อนอยู่ในดิน และน้ำใต้ดิน และไม่มีใครทราบว่า เมื่อไหร่ที่สารเคมีนี้จะสลายตัวไป สารนี้สามารถปนเปื้อนในอาหาร เช่นไข่ นมเนย ผลไม้ และผัก การหลีกเลี่ยงก็คือ การเลือกหาอาหารจากแหล่งที่ปลอดภัยมารับประทาน
6.Flame retardants หรือสารหน่วงการติดไฟ เป็นสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อไทรอยด์ และการเจริญพันธุ์ของเพศหญิง และเนื่องจากไทรอยด์นั้น มีผลต่อสมอง ดังนั้น สารชนิดนี้ จึงมีผลกระทบต่อระดับไอคิวของเด็กด้วย สารชนิดนี้ พบได้ในเฟอร์นิเจอร์ พรม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้กับเด็ก เช่นหมอนให้นม ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่างในบ้าน ที่ทำงาน และในรถ มีสารชนิดนี้เป็นส่วนประกอบ อีกทั้งยังพบว่า สารดังกล่าวนี้มีอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ อย่างคอมพิวเตอร์ ทีวี โทรศัพท์มือถือ และเครื่องเล่นวีดีโอเกม วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ดูดฝุ่น ทำความสะอาดบ่อย ๆ จริง ๆ แล้วเราแทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารนี้ได้ จึงควรพยายามลดการแพร่กระจายของมัน เพราะสารนี้ จะออกมาจากฝุ่นในเฟอร์นิเจอร์ พรมปูพื้นรถ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการชำรุด7.Lead หรือสารตะกั่ว เป็นเวลานานแล้วที่สารตะกั่วนั้นส่งผลต่อสุขภาพของเรา และทุกวันนี้ ก็มีการวิจัยพบว่าอันตรายจากสารตะกั่วนั้นเพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน และความเครียดของคนเราด้วย สารตะกั่วนั้นเป็นโลหะพิษที่ปนเปื้อนอยู่ทั้งในน้ำดื่มที่ไหลผ่านท่อน้ำเก่า และน้ำในแทงก์น้ำ แม้จะผ่านการกรองแล้วก็ตาม การหลีกเลี่ยงนั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า ซึ่งดูดซับสารตะกั่วไว้ในปริมาณน้อย และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยนั้น หากเป็นบ้านเก่า ก็ควรได้รับการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ เพื่อการอุปโภคและบริโภค
8.Arsenic หรือสารหนู เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้อีกหลายอย่าง รวมทั้งทำให้เกิดปัญหากับต่อมไร้ท่อ รบกวนการทำงานของเอสโตรเจร โปรเจสเตอโรน รวมทั้งฮอร์โมนเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันโรค สารหนูนี้ มีอยู่ทั้งในน้ำและอาหาร ทั้งเนื้อสัตว์ และผลไม้อย่างแอปเปิล และองุ่น ที่อยู่ในฟาร์มซึ่งไม่มีคุณภาพ ดังนั้น แนวทางในการหลีกเลี่ยงก็คือ กรองน้ำผ่านระบบการกรองที่ได้มาตราฐาน เลือกรับประทานอาหารจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ หรืออาหารออแกนนิค
9.Mercury หรือสารปรอท เป็นสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อไอคิวของเด็กเช่นกัน อีกทั้งยังส่งผลต่อฮอร์โมน และวงจรการมีประจำเดือนและการตกไข่ของผู้หญิง สารปรอทนี้ ยังทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดด้วย สารปรอทนี้พบในอาหารทะเล เพราะสามารถปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้กับแหล่งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพวกโรงงานถ่านหิน เราสามารถหลีกเลี่ยงสารปรอทได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารทะเล ที่มีปริมาณสารปรอทต่ำเช่นปลาแซลมอนอลาสก้า ปลาเทราท์ ปลาซาดีน และแอนโชวี่ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วปลาเล็ก ๆ จะมีการปนเปื้อนน้อย10.Perfluorinated chemicals สารเปอร์ฟลูออโรเนท หรือ PFCs สารนี้มีการศึกษาพบว่ามีผลกระทบต่อการทำงานของไทรอยด์ และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ อีกทั้งยังมีผลต่อภาวะการเจริญพันธุ์ของทั้งชายและหญิง รวมทั้งการผลิตไข่ของเพศหญิง เราพบสารชนิดนี้ในหม้อ กระทะ ที่มีการเคลือบสารกันการเกาะติด รวมทั้งยังมีอยู่ในเสื้อผ้าพวก ผ้าหุ้มเบาะ พรม กระเป๋าเป้ และพวกผลิตภัณฑ์ป้องกันน้ำ ป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ รวมทั้งยังพบในกล่องพิซซ่า ห่ออาหาร ถุงป๊อบคอร์นแบบไมโครเวฟ รวมทั้งถุงอาหารสัตว์ด้วย เราสามารถหลีกเลี่ยงสารดังกล่าวได้ด้วยการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์พวก กอร์เท็ค ป้องกันคราบ และเทฟล่อน เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการผสมสาร PFCs เข้าไปในการผลิต
11.Organophosphate pesticides หรือยากำจัดแมลงพวกฟอสเฟต สารพวกนี้ทำให้ระดับเทสทอสเทอโรน และฮอร์โมนเพศต่ำลง หากได้รับสารนี้ระหว่างการตั้งครรภ์ ก็มีความเสี่ยงต่อการแท้งลูก และมีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เราพบว่ามีสารพวกนี้ในยาฆ่าแมลง ดังนั้นการหลีกเลี่ยงก็คือ การเลือกอาหารจากฟาร์มออร์แกนิค
12.Glycol ethers หรือไกลคอล อีเทอร์ มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ทำให้สเปิร์มของเพศชายด้อยคุณภาพ เคลื่อนตัวช้าสารพวกนี้ใช้กันมากมายในวงการอุตสาหกรรม รวมทั้งพวกบริการซักแห้ง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด วิธีการหลีกเลี่ยงก็คือ ผ้าที่มีความบอบบาง ให้ซักด้วยมือแทนการซักแห้ง และทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมใช้เองที่บ้าน

วิธีกำจัดแมลงหวี่แบบง่าย ๆ ไม่พึ่งสารเคมี

วิธีกำจัดแมลงหวี่แบบง่าย ๆ ไม่พึ่งสารเคมี


วิธีกำจัดแมลงหวี่แบบง่าย ๆ ไม่พึ่งสารเคมี

สวัสดีเพื่อนๆ ชาวเว็บ iHome108 บ้านเพื่อนๆ คนใหนเจอปัญหา มีแมลงแสนรำคาญรบกวน ตอมหน้าตอมตา กวนหัวใจ อย่างเจ้าแมลงหวี่บ้างหรือเปล่า จะมาในหน้าร้อนเป็นส่วนใหญ่ แต่จะสร้างความรำคาญมากกว่าแมลงวัน ตามตื้อ ตามจิกไปมาทุกที่ เหมือนเจ้ากรรมนายเวรถ้าเพื่อนเจอปัญหาแมลงหวี่รบกวนเหมือนที่กล่าวมา วันนี้เรานำวิธีไล่แมลงหวี่มาแนะนำ เป็นวิธีง่ายๆ เกี่ยวกับการกำจัดแมลงหวี่ หรือไล่แมลงหวี่โดยไม่ใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ป้องกันสารตกค้าง
  • กำจัดแมลงหวี่ด้วยเชือกงานนี้เราใช้เชือกสีขาวๆ เท่านั้น นำมาผูกกับราว หรือ ตามยาวลงมา แมลงหวี่จะบินไปเกาะ ไม่มาตัวเดียวด้วย ชวนกันมา จากนั้นก็นำน้ำมันเครื่อง น้ำมันก๊าซ หรือ น้ำมัน พืช น้ำมันหมู มาใส่ภาชนะ แล้วมาเคลือบที่เชือกเพื่อจับแมลงหวี่ มันจะติดบินไปใหนไม่ได้แล้ว
  • ควันกาบมะพร้าว กับ เครือกระทกรกแมลงหวี่ไม่ชอบกลิ่นกาบมะพร้าว กับเครือกระทกรกที่ตากแห้งแล้วเอามามัดจุดไฟให้เกิดควัน จะหนีไปไม่กลับมาอีก
  • กำจัดแมลงหวี่โดยใช้ใบหางนกยูงไล่แมลงหวี่แบบธรรมชาติ เพียงนำก้านของใบหางนกยูงมาใส่ไว้บนแจกันบนโต๊ะทำงาน หรือตรงที่มารบกวน แมลงหวี่นั้นไม่ชอบกลิ่นของใบหางนกยูง
  • กำจัดแมลงหวี่ด้วยดอกดาวเรือง ให้เด็ดดอกดาวเรืองมาแช่ในน้ำ ทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นก็เอาน้ำที่ได้มารดบริเวณที่มีแมลงหวี่ รับรองได้ว่าเพียงไม่กี่วันแมลงหวี่จะหนีหายไปจากที่นั่น พร้อมกำจัดทั้งไข่ของแมลงหวี่

สารเคมีในโรงงาน Samsung รั่วไหล คนงานวัย 52 ปี ดับ!

สารเคมีในโรงงาน Samsung รั่วไหล คนงานวัย 52 ปี ดับ!


สารเคมีในโรงงาน Samsung รั่วไหล คนงานวัย 52 ปี ดับ!

สลด!!! สารเคมีในโรงงาน Samsung รั่วไหล คนงานวัย 52 ปี ดับอนาถ!
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น! เมื่อโรงงานผลิตชิ้นส่วนของ Samsung ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เกิดเหตุก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รั่วไหลออกมา ทำให้คนงานที่อยู่บริเวณนั้น บาดเจ็บ และ 1 ในคนงานวัย 52 ปีเสียชีวิต!!!
สำนักข่าวเกาหลีใต้ yonhanews รายงานว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจาก ระบบดับเพลิงของโรงงานทำงานผิดพลาด เมื่ออยู่ๆก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ทั้งๆที่ไม่ได้เกิดเหตุไฟไหม้แต่อย่างใด ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในพื้นที่ เมื่อเหตุการณ์สงบลง พบผู้เสียชีวิตเป็นคนงานชายวัย 52ปี เว็บไซต์ Engaget ได้โพสถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ2-3ปีก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สลดครั้งนี้ว่า เมื่อเดือน มกราคม ปี2013 นั้น เคยเกิดเหตุการณ์สารเคมี Hydroflouric acid รั่วไหลออกมามากกว่า 10 ลิตร
ในโรงงานผลิตชิปของ Samsung ทำให้คนงานเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 4 ราย จากเหตุการณ์นี้บริษัท Samsung ถูกปรับเป็นเงินกว่า 1000ดอลลาร์ เพื่อเป็นการตักเตือนไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก
แต่หลังจากนั้น 4 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำขึ้นอีกในลักษณะเดียวกัน ทำให้คนงานบาดเจ็บ 3 ราย ล่าสุดทาง Samsung ได้แสดงความเสียใจและแถลงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ของตนเอง และกล่าวว่าจะเพิ่มมาตรการความปลอดภัย และป้องกันอุบัติเหตุให้เข้มงวดยิ่งขึ้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 3 เหตุการณ์
จะเห็นว่าทั้งหมดนั้นเกิดจากความสะเพร่า และไม่เอาใจใส่ดูแลของ ผู้ดูแล เพราะเหตุการณ์มักเกิดขึ้นซ้ำๆ ทีมงาน Sanook! Hitech ขอแสดงความเสียใจกับคนงานที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยนะครับ
และหวังว่าทางโรงงานจะรักษาความปลอดภัยของ คนงาน ให้มากขึ้นกว่านี้